วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประวัติ พระครูวิมลสมณวัตร หรือ หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน ตำบลบ้านชี อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี

หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกรูปหนึ่งในจังหวัดลพบุรี ที่มีญาติโยมให้ความเคารพศรัทธาเป็นจำนวนมาก ด้วยท่านมี วัตรปฏิบัติ อัน งดงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยความ เมตตา และ กรุณา ที่มีให้แก่บรรดาญาติโยมในทุกระดับชั้น ตั้งแต่ นายพล ยันประชาชน คนทั่วไป



โดยเฉพาะวิชา คาถาอาคม ที่ใช้สร้าง และเสก ตะกรุดโทน และ ผ้ายันต์แดง ซึ่งท่านได้ลงจาร อักขระ ด้วยตนเองทุกตัวอักษร เป็นผลให้ปรากฏ พุทธคุณ ทางด้าน แคล้วคลาด และ คงกระพัน จนเป็นที่ร่ำลือ ชื่อเสียงของท่านเริ่มโด่งดังขจรขจาย แม้วัดเกริ่นกฐินจะอยู่ในไร่นาป่าเขา ซึ่งทุรกันดาร และห่างไกลความเจริญ แต่ก็ยังมีญาติโยมพากันเดินทางไปแสวงหา ของดี กันอย่างไม่ขาดสาย

หลวงพ่อเพี้ยน ในวัย ๗๕ พรรษาที่ ๔๖ ได้เมตตาให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ทีมข่าว คม ชัด ลึก เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ บนเส้นทาง พระเกจิอาจารย์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถี ธรรม ตามแนวทางของท่าน ขอเชิญท่านสาธุชนทั้งหลาย สัมผัสได้ ณ บัดนี้...

ทำไมหลวงพ่อถึงได้ชื่อ เพี้ยน ล่ะครับ ฟังดูแปลกดีนะครับ?

มันก็คงจะเพี้ยนมาตั้งแต่เด็ก มันยังไง ยังไงอยู่นะ (หัวเราะ)

ชื่อ เพี้ยน เป็นชื่อที่โยมพ่อโยมแม่ตั้งให้เองหรือเปล่าครับ?

ก็ไม่รู้ เห็นเขาเรียก เพี้ยนๆ มาตั้งแต่เด็กแล้ว

แล้วชื่อจริงของหลวงพ่อชื่ออะไรครับ?

ไม่มีหรอก...อาตมาชื่อเดียวเลย ชื่อ เพี้ยน เลย (หัวเราะ) พี่น้องทั้ง ๗ คน ทุกคนเขาก็มีชื่อดีๆ ทั้งนั้น มีแต่อาตมานี่แหละ ก็ไม่รู้ว่าสมัยตอนเป็นเด็ก จะเพี้ยนๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ)

หลวงพ่อมาอยู่ที่ วัดเกริ่นกฐิน ตั้งแต่ปีไหนครับ?

ก็ตั้งแต่อาตมาบวชเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙ สมัยที่อาตมามาอยู่ใหม่ๆ มีพระจำพรรษาประมาณ ๗-๘ รูป มีโบสถ์อยู่หลังเดียวเท่านั้น อาตมาก็เริ่มสร้างทำเสนาสนะต่างๆ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๙ อย่างกุฏิ เมื่อก่อนก็เก่ามาก ก็อยู่กันตามมีตามเกิด ทางเข้าวัดยังไม่มีเลย มีแต่คันนา ไปไหนมาไหนลำบาก แต่ก็เงียบสงบ มาสมัยนี้ สะดวกกว่าเมื่อก่อนเยอะ

ในแต่ละวัน มีญาติโยมเดินทางมากราบนมัสการหลวงพ่อเยอะไหมครับ?

ก็มีญาติโยมมาที่วัดกันเรื่อยๆ เขาก็มาร่วมทำบุญกัน บางคนก็ให้อาตมาเจิมหน้าผาก รดน้ำมนต์ อาบน้ำมนต์ พออาบกันไปแล้วเขาว่าเขาดี เขาก็กลับมาร่วมทำบุญกัน

ที่วัดเกริ่นกฐิน จะมีญาติโยมนิยมเดินทางมาให้หลวงพ่อช่วย อาบน้ำมนต์ ให้ ไม่ทราบว่าอาบแล้วดีอย่างไรครับ?

การอาบน้ำมนต์ก็ดีเหมือนกัน ที่ทำให้หนักกลายเป็นเบา เป็นการช่วย สะเดาะเคราะห์ สิ่งที่ไม่ดีอยู่ในตัวเราจะได้ออกไป คล้ายๆ เหมือนคนเรามีเคราะห์อะไรมา ก็มีน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้านี่แหละอาบกันไปให้ แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่กรรมของแต่ละคน อยู่ที่กรรมหนักกรรมเบาของแต่ละคน เช่น อาตมาทำความดีให้แล้ว เขาเองก็ต้องทำความดีด้วย แต่ถ้าไปทำกรรมไม่ดี อาตมาก็ช่วยอะไรไม่ได้ ใครก็ตามที่ถึงคราวจะต้องตาย อะไรก็ช่วยหยุดยั้งไม่ให้ตายไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับชะตากรรม

ญาติโยมที่มาให้หลวงพ่ออาบน้ำมนต์ ส่วนใหญ่เขาเดือดร้อน หรือมีปัญหาเรื่องอะไรครับ?

ใครก็ได้ที่ไม่สบายใจ เมื่ออาบน้ำมนต์ไปแล้ว เพียงแต่ขอให้ทุกคนทำจิตทำใจให้ดี ทำตัวให้สบาย จะได้มีโชคลาภ แต่เรื่องโชคลาภจะให้มีกับทุกคนที่อาบน้ำมนต์ มันก็คงไม่ได้

ทำไมเรื่อง โชคลาภ แต่ละคนจึงมีแตกต่างกันล่ะครับ?

ก็คนเราเหมือนกันเสียเมื่อไร มันขึ้นอยู่ที่กรรมของแต่ละคน และขึ้นอยู่ที่การกระทำของแต่ละคนเช่นกัน คล้ายๆ กับว่าทำไมคนจนถึงรวยได้ ก็เพราะว่ากรรมดีจากชาติเก่าของเขาตามมาทัน ชาติเก่าที่ว่านี้เป็นชาติเก่าที่สร้างสรรค์ทำมาดี ทำบุญมามาก ทำให้ชีวิตเขาสามารถเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้

แล้วถ้าคนที่ทำกรรมไม่ดีเอาไว้เมื่อชาติที่แล้ว แต่ชาตินี้ เขาขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์สุจริต และทำความดี กรรมดี ที่ได้ทำในชาตินี้ จะสามารถลบล้าง กรรมไม่ดี ในชาติที่แล้ว ได้หรือไม่ครับ?

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่พูดกันยาก แต่ถ้าจะให้ลบล้างกัน มันลบกันยาก เพราะกรรมไม่สามารถลบกันได้ แต่ก็ช่วยทำให้หนักเป็นเบาได้ อยู่ที่ว่าสิ่งไหนจะมาทันกันก่อน จะเป็นบุญมาทันก่อนหรือว่าจะเป็นกรรมมาทันก่อน อะไรถึงก่อนก็ต้องรับกันไป แต่จะให้ดีชาตินี้ ทุกคนต้องรู้จักทำความดีให้มากๆ ทำบุญให้มากๆ มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย เดี๋ยวก็เต็มไปเอง และในที่สุดก็จะดีไปเอง

ดังนั้น ถ้าใครทำ กรรมชั่ว มาก่อน แล้วภายหลังจะมาทำ กรรมดี เพื่อลบล้าง กรรมชั่ว ที่เคยทำ ก็ไม่ได้น่ะสิครับ?

ไม่ได้ เมื่อเรามารู้สึกในตอนนี้ว่าที่ทำไว้นั้น ทำไม่ดีไปแล้ว มันก็ดีที่เราคิดได้ จะได้ไม่ทำซ้ำไปอีก เพราะมันจะได้เบาลงหน่อย จากหนักก็จะเป็นเบา อย่างตัวอาตมาเอง หากกรรมเก่าของอาตมาตามมาทัน อาตมาอาจไม่ได้เป็นอยู่อย่างนี้ก็ได้ เพราะบุญใหม่ของอาตมาคงมีไม่ถึงขนาดนี้หรอก (หัวเราะ) ฉะนั้น ต้องหมั่นสร้างบุญกุศลกันไว้ให้มากๆ..จริงไหมล่ะ

เหรียญรุ่นแรก ยอดนิยม สร้างในปี พ.ศ.๒๕๓๗

แล้ว วัตถุมงคล และ เครื่องรางของขลัง ต่างๆ จะช่วยคนที่มี กรรม ได้อย่างไรบ้างครับ?

ไม่มีอะไรจะมาลบล้างกรรมที่ตัวได้กระทำไว้ได้ จะมีก็แต่ช่วยผ่อนหนัก ให้เป็นเบาได้บ้าง แต่จะช่วยให้คนไม่ตายน่ะ ไม่ได้หรอก เมื่อถึงคราวตาย ก็ต้องตาย ไม่มีสิ่งใดห้ามความตายได้ เรื่องวัตถุมงคลมันพูดยากน่ะ จะว่าสิ่งไหนดี หรือสิ่งไหนไม่ดี ก็อาตมาทำคนเดียว สถานที่ปลุกเสกก็ที่เดียวกันหมด อาตมาไม่ได้เลือกปลุกเสก ก็นั่งปลุกเสกทุกวัน

หลวงพ่อเริ่มสร้าง วัตถุมงคล ตั้งแต่เมื่อใดครับ?

ก็เริ่มทำมาตั้งแต่บวชได้ไม่นาน ก็ประมาณ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว ตอนแรก ก็ทำผ้ายันต์แดง เป็นยันต์ ๘ ทิศ ก็ทำพร้อมกับตะกรุดโทน เป็นวิชาที่เรียนมาจากหลวงพ่อปาน อดีตเจ้าอาวาสวัดเกริ่นกฐิน มาผสมผสานกับวิชาของโยมพ่อ

ผ้ายันต์แดง และ ตะกรุดโทน ที่ขึ้นชื่อลือชา

ทำไมต้องเป็น ผ้ายันต์แดง ด้วยล่ะครับ?

สมัยก่อนโน่นมีการไปรบทัพจับศึก สมัยสงครามอินโดจีน จะต้องประจัญบาน สีแดงจึงเป็นเหมือนสีเลือดที่ต้องเสียสละเพื่อชาติ ผ้ายันต์แดงจึงต้องเน้นแคล้วคลาด คงกระพัน สมัยสงครามอินโดจีน ที่ จ.ลพบุรี นี้ ก็มี หลวงปู่จันทร์ วัดนางหนู ท่านก็สร้างเสื้อยันต์สีแดง มีชื่อเสียงทางด้านคงกระพันมาก

พุทธคุณของ ผ้ายันต์แดง จะแตกต่างจาก ตะกรุดโทน อย่างไรครับ?

มันไม่ต่างกันหรอก มันคล้ายๆ กัน อย่างผ้ายันต์แดงก็อย่างหนึ่ง ส่วนตะกรุดก็อย่างหนึ่ง แต่อาตมาก็ปลุกเสกเหมือนกัน พุทธคุณก็เหมือนกัน คือ แคล้วคลาด คงกระพัน

พระทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นร้อยแปด แต่เมื่อเราทำไปปุ๊บ ผู้ที่ทำหน้าที่ปลุกเสกเท่านั้นแหละที่เราไม่รู้ว่าเขาใส่อะไรไปบ้าง เพราะถือเป็นหน้าที่ของพระที่ปลุกเสกในแต่ละองค์ ถ้าจะให้ใส่คงกระพัน ท่านก็จะใส่คงกระพัน ต้องการให้เมตตา ท่านก็ใส่เมตตาให้

หลวงพ่อมีวิธีการ ปลุกเสก ของอย่างไรบ้างครับ?

อาตมาก็ใช้คาถาของพระพุทธเจ้านี่แหละ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ นี่ประเสริฐสุดแล้ว แล้วก็ว่าคาถาต่างๆ ที่ได้ร่ำเรียนมาจากครูบาอาจารย์ ก็นั่งปลุกเสกในกุฏินี่ล่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงบ่าย ๓-๔ โมง เมื่อญาติโยมเดินทางกลับกันหมดแล้ว

คาถาที่ใช้ก็คือ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ (อิติปิโสภควาฯ สวากขาโต ภควตาธัมโมฯ สุปฏิปันโน ภควโตฯ) ถือเป็นหัวใจหลักของการปลุกเสก ถ้าญาติโยมสามารถสวดกันได้ ก็ยิ่งดีกันใหญ่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นแสงสว่างของพระพุทธเจ้า จะอยู่ในนี้ทั้งหมด

การปลุกเสกนั้น มันอยู่ที่เรากำหนดจิตเอง เราสามารถรู้เองได้ เพราะถ้าเราเป่าลงไปเนี่ย ใช้พลังจิตลงไปด้วย มันจะรู้ด้วยตัวเอง ยิ่งปลุกเสกบ่อยก็ยิ่งดี แต่จะดีหรือไม่ดี มันขึ้นอยู่ที่การกำหนดจิตอีกเช่นกัน

กระผมเห็นการปลุกเสกวัตถุมงคลส่วนใหญ่ มักจะมีการใช้ สายสิญจน์ โยงไปยังวัตถุมงคล เพื่ออะไรครับ?

การใช้สายสิญจน์โยงไปนั้น ก็เหมือนกับการเสียบปลั๊กไฟ ในเวลาที่เราจะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ นั่นแหละ สายสิญจน์ก็เป็นเหมือนปลั๊กไฟ คือเป็นสื่อนำพลังไฟฟ้าไปยังวัตถุต่างๆ ก็ไปได้ทั่ว ไม่ว่าจะอยู่บริเวณไหนก็ตาม

ของขลัง ของหลวงพ่อ สามารถนำไป ลองยิง เพื่อทดสอบพุทธคุณได้ไหมครับ?

ของแบบนี้พูดไม่ได้ เพราะหลวงพ่อให้ไว้ป้องกันตัว ไม่ได้ให้ไปลอง ไม่ได้ให้ไปทำพิเรนอย่างนั้น ให้ไว้ใช้ติดตัว เอาไว้ป้องกันตัว

การใช้วัตถุมงคลของหลวงพ่อ มี ข้อห้าม อะไรบ้างหรือเปล่าครับ?

มีซิ..ห้ามด่าแม่เขา และขอให้นึกถึงคุณพระก่อนก็แล้วกัน ถ้ายึดถือ ศีล ๕ ได้ก็ยิ่งดี โยมก็ลองนำไปปฏิบัติดู แต่ไม่ใช่ไปปล้นไปจี้เขานะ หากเอาไปใช้ในทางไม่ดี พระอะไรก็ช่วยคุ้มครองให้ไม่ได้

เรื่องวิชา คาถาอาคม ต่างๆ ไม่ทราบว่าหลวงพ่อไปเล่าเรียนมาจากที่ไหนบ้างครับ?

ก็เรียนมาจากโยมพ่อ ท่านเป็นคนเขมร มาจากภาคอีสาน จังหวัด ศรีสะเกษ โยมพ่อของอาตมาก็เรียนคาถามาจากเขมร และติดตัวมาเมื่อมาอยู่ในประเทศไทย ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ท่านก็ได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ไว้ให้อาตมา ตอนที่ท่านเสียชีวิต ตอนนั้นอาตมาอายุเพียง ๑๘ ปีเท่านั้น

ก็เป็นตำราที่โยมพ่อเขียนไว้ตามที่ได้เรียนมา อาตมาก็ได้ศึกษาเรียนรู้จากตำรานี้ แล้วก็ไปหาเรียนกับทางอื่นบ้างเหมือนกัน มาผสมกับวิชาของโยมพ่อ ส่วนหลวงพ่อปาน อดีตเจ้าอาวาสวัดเกริ่นกฐิน อาตมาก็ได้เรียนวิชากับท่านมาประมาณ ๒-๓ อย่าง

นอกจาก โยมพ่อ และ หลวงพ่อปาน อดีตเจ้าอาวาสฯ แล้ว หลวงพ่อไปเรียนวิชาที่ไหนอีกบ้างครับ?

ก็เรียนจากตำราเอง โดยนิมนต์คาถาพระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ เพราะถือว่าดีทุกบท ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจ ทำอะไรถ้ายึดมั่นถือมั่น ประโยชน์มันถึงจะเกิด ต้องรู้จริง ทำจริง จึงจะเห็นได้จริง

ใครจะเอาสิ่งไหนก็เอาเลย ไม่ต้องไปละ เหมือนกันกับการทำสมาธิ ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่ท่อง พุทโธ..พุทโธ.. แค่นี้พอแล้ว ทำให้จิตใจสงบก็แล้วกัน ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงอะไร นี่แหละที่เขาเรียกว่า ยึดมั่นถือมั่น

ทำแล้ว จะเกิด ผลดี อย่างไรกับตัวเราบ้างครับ หลวงพ่อครับ?

ก็ดีซิ เพราะจิตเราหยุดได้ก็สบาย เมื่อจิตเราหยุดแล้ว โลภะ โทสะ โมหะ ของเราก็ไม่เกิด หรือใครมาข่มเราก็ไม่ได้ มันทำให้เราสบาย ไม่ต้องมีรัก โลภ โกรธ หลง เพราะถ้าคนเราหยุดสิ่งเหล่านี้ได้ปุ๊บ ใจเราก็สบาย หลับก็สบาย ไม่ต้องฝัน และหากใครฝัน ก็แปลว่ายังหยุดจิตไม่ได้ ...ฝันไปทั่วโลก (หัวเราะ)

แต่ว่าการจะทำจิตให้สงบ ให้หยุดนิ่ง ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับมนุษย์ปุถุชนนะครับ?

ก็บางคนคิดไปทั่วโลก แล้วจะให้จิตสงบได้อย่างไร สิ่งสำคัญตัวเราเองเท่านั้นที่จะต้องฝึก และบังคับจิตให้นิ่งไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็ได้ไปเอง หากรู้ว่าจิตกำลังจะไป ต้องบังคับให้ได้เสียก่อน เหมือนกับการผูกวัว แล้ววัวจะหนี ก็ต้องดึงมันไว้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องจับมันบ่อยๆ แต่ถ้าเราผูกให้แน่น เราก็จะชินไปเอง

หลวงพ่อไปได้แนวคิดนี้มาจากที่ไหนครับ?

ก็มันเป็นหลักของพระพุทธเจ้า (หัวเราะ) ใครจะมาแนะเล่า ก็รู้จาก พระพุทธเจ้านี่แหละ ใครจะทำอะไรต้องทำให้จริง เห็นให้จริง และรู้ให้จริง จะเกิดประโยชน์ได้ ต้องหมั่นทำ และทำให้จริง

ประวัติย่อ หลวงพ่อเพื้ยน

หลวงพ่อเพี้ยน อคฺคธมฺโม เจ้าอาวาสวัดเกริ่นกฐิน ต.บ้านชี อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ปัจจุบันอายุ ๗๕ ปี พรรษาที่ ๔๖ เกิดวันอาทิตย์ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๐ เดิมชื่อ เพื้ยน ยอดวัน เป็นบุตรคนที่ ๒ จากจำนวน ๗ คน ของ นายเตอะ-นางเล็ก ยอดวัน ซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรม

ในวัยเด็ก ได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดท้องคุ้ง จบแค่ชั้นประถม ๔ ก็ต้องออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา-เลี้ยงควาย เนื่องจากทางบ้านมีฐานะยากจน กระทั่ง อายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ จึงได้บวชแทนคุณบิดามารดา โดยจำพรรษาที่วัดกำแพง เป็นเวลา ๑ ปี จึงได้ลาสิกขา แล้วไปรับใช้ชาติโดยเป็น ทหารเกณฑ์ อยู่ ๒ ปี



เมื่อปลดประจำการจากทหาร ก็ได้ภรรยา และมีลูกด้วยกันจำนวน ๕ คน ใช้ชีวิตเป็นฆราวาสอย่างโชกโชนยาวนานถึง ๓๐ ปี จนได้ เห็นแล้ว รู้แล้ว ถึง สัจธรรม ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ จึงเกิดความเบื่อหน่ายทางโลก และได้ตัดสินใจอุปสมบทอีกครั้ง ณ วัดกำแพง ต.บ้านชี อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๙ ขณะอายุได้ ๕๑ ปี

โดยมี พระครูพิพัฒน์สารคูณ (อาจารย์เจือ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระประเสริฐ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสัญทัศน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า อคฺคธมฺโม จากนั้นได้ย้ายมาจำพรรษาที่

วัดเกริ่นกฐิน และได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าอาวาส ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๗ จนถึงปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น